วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

ฟิสิกส์ทางเลือก ( Alternative Physics)

ฟิสิกส์ทางเลือก ( Alternative Physics)
ฟิสิกส์ทางเลือก 
( Alternative Physics)
(Understand  by some English sentence if you are not Thai (open by Chrome or Firefox if IE fail))
เป็นบทความที่ต้องการจะเขียนเพื่อ บันทึก ความต้องการ ความเห็นในวิชาการทาง ฟิสิกส์ ซึ่ง เพิ่มเติมจาก ความรู้ในวิชาฟิสิกส์ ที่เราเรียน ตั้งแต่ ม.ต้น จนจบ มหาวิทยาลัย แต่ไม่อาจเติมเต็ม ความต้องการทางความรู้ที่ต้องการอยากจะรู้ ได้


       ผมจึงตั้งใจ ประมวลความรู้ทางฟิสิกส์ที่เล่าเรียนมา บวกกับความรู้ที่ ได้ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือวิชาการต่างๆ มาเป็นฟิสิกส์ แนวใหม่ที่ผมคิดเอง ซึ่งผมเรียกมันว่า ฟิสิกส์ทางเลือก

 ( Alternative Physics)

ซึ่งคล้ายๆกับในวงการแพทย์ ที่มีการแพทย์แขนงหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแพทย์แผนปัจจุบัน แต่รักษาโรคให้หายได้เหมือนกัน ซึ่งเรียกว่า แพทย์ทางเลือก  ( Alternative Medicine)  ......

    เอาละ เริ่มกันเลย

    ผม เรา ท่านทั้งหลายที่ได้ศึกษาวิชา ฟิสิกส์ กันมาแล้วคงตระหนักได้ไม่ยากนักว่า เขาแยกสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้เป็น 2 ประเภท คือ 1.พลังงาน (Energy)   และ 2. แรง (Force) แยกแยะได้ดังนี้

          1.พลังงาน(Energy) คือสิ่งทั้งหลายที่เรา เห็น สัมผัสได้ ตั้งแต่ คลื่น แสง เสียง วัตถุ ความร้อน อะตอม ไปจนถึงทุกสิ่งที่มี อุุณหภูมิ เกิน 0 องศาเคลวินนั้นแหละ เราเรียกมันว่า พลังงาน

http://en.wikipedia.org/wiki/Energy

          2.แรง (Force) เราแบ่งแรงพื้นฐาน ออกเป็น 4 ชนิด คือ  1. แรงโน้มถ่วง  2. แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน  3. แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม  และ  4.แรงแม่เหล็กไฟฟ้า
http://en.wikipedia.org/wiki/Fundamental_interaction

          การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของพลังงานจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแรงในระบบ และการเปลี่ยนแปลงใดๆของแรงจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในระบบ ตามสมการ  ที่ 1  และ สมการที่   2    ดังนี้


  สมการที่ 1.

                            ∑ F  = ma

โดย
m  คือ มวล ของวัตถุ มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg)
a คือ ความเร่ง มีหน่วย เป็น เมตร ต่อวินาที ยกกำลังสอง (m/s2)


 สมการที่ 2

                                         E = mc2

    ( อ่านว่า E เท่ากับ m คูณ C ยกกำลัง 2   ซึงเป็นสมการที่ ไอน์สไตน์ คิดค้นขึ้น แต่ที่น่าแปลกคือเราไม่รู้ว่าเขาคิดสมการนี้มาได้ยังไง)

     เมื่อ  E  คือ พลังงานรวมทั้งหมด ที่เกิดจาก m
     และ m  ก็คือ มวล ตามสมการ ที่ 1

 เมื่อเราเอาสมการที่ 1 และ 2 แทนที่ สลับไปมา ก็จะเห็นจริงดังคำกล่าวข้างต้น (หากใครมีข้อโต้แย้งใดๆ ก็ขอให้ข้ามไปก่อน แล้วจะเข้าใจในตอนท้ายเอง)

   แต่  ความรู้ในธรรมชาติมีเพียงเท่านี้เองหรือ ....... ไปถามใครก็ได้ที่ได้เรียนวิทยาศาสตร์มาหน่อยแล้วละก้อ  จะตอบได้โดยสามัญสำนึกว่า...ไม่  แล้วอะไรละที่เราขาดหายไป...???

       จริงอยู่เรามีไฟฟ้าใช้ มีโทรศัพท์มือถือใช้ มีรถไฟความเร็วสูง  มียานอวกาศ(ที่พอดูได้หน่อย) มีคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง  มีระเบิดนิวเคลียร์  มีเครื่องเร่งอนุภาค  มีการศึกษาในระดับที่เล็กกว่าอะตอม

แต่ถ้าคิดให้ดีเรา (มนุษย์) มีความรู้อยู่แค่สมการพื้นฐาน 2 อันนั้น  และความรู้ของเรามันรู้สึกว่าจะตันเสียแล้ว มันพัฒนา ไปมากกว่านี้ได้ยากมากและที่สำคัญคือ รู้สึกว่าเรากำลังหลงทาง

      และเราก็รู้ได้โดยสามัญสำนึกว่ายังมีอีกมากที่เราไม่รู้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เราหาคำตอบไม่ได้เช่นเรื่อง จิตใจและปรากฎการณ์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องด้วยจิตใจ  เรื่องของชีวิต  เรื่องเวลา เรื่องการเดินทางที่มากกว่าความเร็วแสง และเรื่องความไม่เข้าใจเรื่องควอนตัม เป็นต้น

 ดังนั้นจึงทำให้ผมคิดแนวทางฟิสิกส์ตามแบบของผมเอง
 (ความเห็นเฉพาะตัว)

       ฟิสิกส์ทางเลือก( Alternative Physics) จึงเกิดขึ้นเพื่อ ทะลุขีดจำกัดนั้นออกไป

     เริ่มแรก  ต้องเริ่มจากความเข้าใจสมการทางคณิตศาสตร์    สักหนึ่งเรื่องก่อน มันคือ จำนวนเชิงซ้อน(complex number) ซึ่่งการที่ผม ต้องเริ่มจาก ความรู้เรื่อง นี้ก่อนก็เพราะว่าจุดนี้เป็นจุดหักเห เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่ทำให้ความรู้ของ มนุษย์เราไม่พัฒนาไปเท่าที่ควร เนื่องจากการที่เราตีความหมายของ ค่า i ผิดไป จากความเป็นจริงที่มันควรจะเป็น

                        Z = R  + iM

 จำนวนเชิงซ้อนคืออะไร ?

ไฟล์:Complex.png

Complex number

บทความทางการศึกษาเกี่ยวกับ the meaning of complex numbers

Physical Meaning of Complex Numbers  และ


30/01/2012                                           ......................  ยังมีต่อ

 ท่านเห็นอะไร พิเศษ ในสมการนี้ไหม หลายท่านอาจจะตอบได้เลยว่า ใช่มันพิเศษตรงที่มี i แล้วมันพิเศษกว่านั้นยังไงล่ะ ???

       เพื่อตอบคำถามนี้เราต้องย้อนกลับไปหาว่า ปรัชญาของ การเกิดคณิตศาสตร์ ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไงและ เพื่ออะไร และขอบเขตควรจะไปถึงใหน

       ถ้าคุณหาคำตอบ ด้านบนได้ คุณจะแปลกใจอย่างยิ่ง ว่าสมการเชิงซ้อนนี้ มาได้ยังไงกัน  มันเป็นสิ่งแปลกประหลาดและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ประมาณว่าคุณเห็นสัตว์ประหลาดจากนอกมิติ มาปรากฎอยู่ข้างหน้าก็ไม่ปาน...

       เพียงแต่ คนทั่วไปมองไปไม่ถึงความมหัศจรรย์ของสมการนั้น เพียงแต่รับรู้ว่ามันเป็นแค่ สมการพิเศษสมการหนึ่ง เท่านั้นเอง  ....

 2/2/2012
        โดยปกติแล้ว เราใช้คณิตศาสตร์เพื่อ บอกถึง ปริมาณ(จำนวน)
และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณใดๆ ไม่ว่า จะเป็น เพิ่มขึ้น(+)   ลดลง (-)  หรือเพิ่มขึ้นแบบ เป็นเท่า(X) หรือลดลง แบบเป็นเท่า(÷ )  หรือว่าการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง ก็ใช้ แคลคูลัส  หรือเปลี่ยนแปลงแบบ เป็นค่า องศา ก็ใช้ตรีโกรมิติและไม่ว่าจะเป็นสมการซับซ้อน
แค่ใหน คุณก็สามารถ วาดมันเป็นกราฟได้ใน 3 ระนาบ X Y Z ได้เสมอ  แต่ ยกเว้น ค่า i
http://en.wikipedia.org/wiki/Cartesian_coordinates


     ซึ่งการอธิบาย ปกติ เราจะวาดกราฟ พิเศษขึ้นมาอีก กราฟหนึ่ง และบอกว่า อีกด้านเป็นค่า จริง R(real คือ ด้านที่วาดในระนาบ xyz ได้) และที่อยู่ตั้งฉากนั้นเป็นค่า i (imaginary)และเรียกมันว่าเป็นค่า จินตภาพ หมายความว่าเป็นค่าในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง  

ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก  ถ้ามันเป็นแค่ สิ่ง
ที่ไม่มีอยู่จริง(ตามการนิยามในทางคณิตศาสตร์)   แต่คุณรู้ไหมว่า 
ค่าที่ไม่น่ามีอยู่จริงนี้  กลับถูกนำมาใช้อย่างเป็นจริง ในโลกแห่งความ
เป็นจริงด้วย มันคือ สมการที่ใช้ในการคำนวน ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า 
และโทรคมนาคม (Electrical Engineering and Telecommunication 
Engineering)ซึ่งมันช็อก ความรู้สึกผมมาก เพราะผมคิดเสมอว่า
มันเป็นแค่สมการในการคำนวนเล่นๆ เท่านั้น ไม่น่ามีการนำมาใช้จริง   
อุปมาเหมือนว่า เราจินตนาการว่าเรามีเงินสัก ล้านหนึ่งซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่ว่าวันหนึ่งเราก็เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า แล้วบอกว่าจะซื้อแหวนเพชรสักวง โดยใช้เงินในจินตนาการนั้นแหละ  และก็ใช้ได้เสียด้วย  คุณคิดดูว่ามันขัดความรู้สึกขนาดใหน

        แต่น่าแปลก ที่คนทั้งโลกที่เรียนวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และโทรคมนาคม ไม่สงสัยในสิ่งนี้ ทั้งๆที่มันไม่สมเหตุสมผลเลยก็ตาม??

22/2/2012

          แต่การจะหาคำอธิบายในสิ่งไม่สมเหตุสมผลนี้ก็น่าจะพอทำได้ และมันควรจะมีอยู่เพราะเรารู้ว่า ความจริงที่ถูกต้อง ต้องมี แค่สิ่งเดียว 
จะถูกต้องทั้ง 2 อย่างไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้น เราจะสับสนมาก ไม่รู้อัน
ใหนคือเรื่องสมมุติ อันใหนคือเรื่องจริง

        เริ่มต้นจากการจะยึดถือว่าอันใหนเป็นเรื่องจริงก็ต้องดู จากสิ่งที่เราจับต้องได้ก่อน   ถูกไหม....

        ใช่  ไฟฟ้า คือเรื่องจริง   ระบบสื่อสารของเราที่ใช้อยู่ก็มีอยู่จริง  
นั้นแสดงว่า ค่า i เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  แต่ว่ามันจะไม่ถูกต้องได้อย่างไร
ก็ในเมื่อเรา นำมาใช้คำนวนได้จริง ???  .....ถ้าอย่างนั้น มีคำอธิบาย
เดียวที่พออธิบายได้คือ    เราตีความค่า i ผิดไป  ค่า i ไม่ใช่ค่า 
จินตภาพ ไม่ใช่ค่าในจินตนาการ แต่มันควรเป็นค่า ที่มีอยู่จริงเพียงแต่
เรา นิยามมันผิดไป และไม่เคยนำมาใช้คำนวนในระบบตัวเลขของเรา
มาก่อน นั้นคือ มันคือค่าในมิติที่ 4 (The Fourth Dimension (i): มิติแห่งสมมุติหมาย มิติของความคิดและความรู้สึก)
The dimension of thinking and feeling

         ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจเรื่อง มิติ ทั้ง 4 จะขอเริ่ม จาก 3 มิติที่เรา
(ส่วนใหญ่)คิดว่า รู้จักดีนี้ก่อน  ดังนี้
โลก 3 มิติ คือ โลกแห่งขนาด และรูปร่างเท่านั้น 
Three dimension is only dimension of size and shape 
ไม่มีชื่อ ไม่มีการตีค่า ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิด ในโลก 3 มิตินี้ มันมีแค่รูปร่างและ
ขนาดที่เรามองเห็นเท่านั้น  ส่วนมันจะเป็นอะไร ไม่ต้องไปสนใจมัน 
(ในโลกแห่ง 3 มิตินี้เราทำได้เพียงแค่ รับรู้ว่ามีมันเท่านั้น)   เพราะหาก
เราสนใจมัน ไปเรียกชื่อมัน ไปตีค่ามัน ไปรู้สึกถึงมัน  มันจะเกิดมิติที่ 
4 ขึ้นมาทันที  ใช่แล้ว ครับ ผมกำลังจะบอกว่า มุมมองของเรา ต่อสิ่ง
ใดๆที่เราเข้าไปรับรู้นั้นคือ มิติที่ 4 นั้นเอง

         ขอยกตัวอย่าง ก็แล้วกันเพื่อความเข้าใจอันดี  ดังนี้ เช่น มีเพชร อยู่เม็ดหนึ่่ง หากมันอยู่ในเมืองใหญ่ ที่คนให้ค่าให้ราคาแก่มัน มันก็จะมีคุณค่ามากมาย ตามความเข้าใจ ตามความรู้สึกของคนใน สังคม
นั้นๆ  แต่หากมันไปอยู่ในป่าในเขา ในเผ่าคนป่าที่ไม่ได้ มีการตีค่า
 ตีราคา อะไรแก่เพชรเม็ดนั้น    เพชรเม็ดนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับหินก้อนหนึ่ง ที่มีอยู่เกลื่อนกราด ตามภูเขา ต่างๆ นั้นเอง  แต่สิ่งที่ทั้งคน
ในเมือง และชาวป่ารับรู้ได้เหมือนกันคือ รูปร่างของมัน เป็นแบบนั้น
มองเห็นเหมือนกัน   นั้นคือแค่ 3 มิติเท่านั้นที่เหมือนกัน
(ลักษณะร่วม) ไม่มี โลกของ มิติที่ 4 (โลกของ สมมุติ และความรู้สึก)
มาเกี่ยวข้องด้วย

        คราวนี้ขอวก กลับมาสู่คณิตศาสตร์ที่เราเรียนกันก่อน ถ้าเราเอาความรู้เรื่องมิติเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย เราจะพบว่า คณิตศาสตร์ที่เรียน  ก่อนมาถึง ค่า i นั้น เป็นการคำนวนใน 3 มิติ มันเป็นการ
คำนวนเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ ขนาด และรูปร่าง 
ของค่าต่างๆ เท่านั้น จึงสามารถวาดเป็นกราฟ ใน 3 ระนาบขึ้นมาได้  
นั้นคือ โลก 3 มิติ   แต่

      หลายท่านอาจจะแย้งว่า จริงอยู่ว่าเราวาดค่าต่างๆ ใน 3 ระนาบ ได้เท่านั้น แต่ เราก็ได้ตีค่า และความหมายของแกน x y และ z ไปแล้วว่าหมายถึงอะไร แล้วอย่างนี้ มันจะไม่เกิดมิติที่ 4 ไปแล้วรึ เพราะพึ่งบอก ไปว่า อย่าไปตีค่ามัน อย่าไปเรียกชื่อมัน อย่าไปรู้สึกถึงมัน เพราะมันจะเกิดมิติที่ 4 ขึ้นมาทันที ไม่ใช่รึ


ขอตอบว่าใช่ มิติที่ 4 เกิดแล้ว แต่  ไม่ได้หมายความว่าคุณได้คำนวนค่าในมิติที่ 4 รวมเข้าไปในสมการ หรือกราฟ ของคุณด้วย  เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น  จึง ขอตั้งคำถาม ง่ายๆว่า กราฟ ที่คุณตีค่าและวาดขึ้นนั้น มีใครเข้าใจกับคุณบ้าง???   อาจจะได้คำตอบว่า ก็เป็นคนที่อ่านหนังสือได้ คนที่เรียนวิชาเดียวกันมา คนที่พูดภาษาเดียวกัน เป็นต้น 


 ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่อ่านหนังสือไม่ได้ ไม่ได้เรียนวิชาเหมือนกันกับคุณ คนที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกันกับคุณจะเข้าใจใหม .... ตอบได้เลยว่าไม่เข้าใจ สมมุติบัญญัติต่างๆ ที่คุณตีค่าให้กับกราฟของคุณ และไม่เข้าใจภาษาที่คุณพูด   แต่  มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้โดยไม่ต้องเรียน ไม่ต้องรู้สมมุติที่แกนต่างๆที่คุณให้กับมัน คือ รูปร่าง การเปลี่ยนไปของกราฟ ของคุณได้เหมือนกัน คือ เห็นมันเพิ่มได้ เห็นมันลดได้ เห็นมันเปลี่ยนรูปไปต่างๆตามแต่ละค่าที่มันเปลี่ยนไปได้  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรเลย ก็ตาม.....จริงไหม  

           ดังนั้น จริงอยู่แม้ว่าเราจะมีการให้ค่า ความหมายของแกน x y z  ว่ามันหมายถึงอะไร มีค่าสัมพันธ์ เป็นฟังก์ชั่น อะไรก็ตาม  แต่นั้นก็เป็นเพียงการ คำนวนใน 3 มิติอยู่ดี  เพราะมิติที่ 4 คือมุมมองของเราถูกตรึงไว้ให้อยู่ คงที่ ด้วย การสมมุติบัญญติให้ตรงกันในสังคม นั้นๆ ด้วยการศึกษาในวิชานั้นๆ  ด้วยการถ่ายทอดและสั่งสมความรู้มาแบบนั้น และ ด้วยภาษานั้นๆ เป็นต้น

         แต่เมื่อมาถึงค่า i ซึ่งเป็นการคำนวนใน มิติ ที่ 4 จะไม่สามารถวาดกราฟร่วม กับ 3 มิติได้โดยง่าย เพราะมันออกนอกกรอบ ความเข้าใจแบบเดิม มันหมายถึงว่า ไม่ว่าใคร หรือสิ่งใดก็ตาม หากมี
สติปัญญารับรู้ได้ 
ต้องมีความเข้าใจตรงกัน   (ลักษณะร่วม)  
  ดังนั้นเพื่อความเข้าใจ นี้เราต้องกลับไปที่ต้นตอของ ค่า i กัน ตามสมการดังนี้

                                 i2 + 1 = 0  (อ่านว่า ไอ ยกกำลัง 2 บวก 1 เท่ากับ 0 )

        ซึ่งโดยปกติ เราจะแก้สมการนี้โดยบอกว่า i คือ    √-1 ( รากที่ 2 ของ -1) ซึ่งในระบบ จำนวนจริง(ทางคณิตศาสตร์) ไม่สามารถมีสิ่งนี้ได้  ดังนั้น เราจึงให้มันเป็นค่า i ไว้และเรียกมันว่า ค่าจินตภาพ (ค่าใน
จินตนาการ) และนำไปใช้ แก้ปัญหา สำหรับสมการพิเศษนี้เท่านั้นเอง...จบ???  มันจบจริงๆ เพราะไม่มีคำอธิบายต่อจากนี้ (มีเฉพาะหลักการในการคำนวน)ไม่ว่าคุณ จะไปหา text หรือตำราเล่มใหน ก็ไม่มีคำอธิบายไปมากกว่านี้  มันไม่มีคำอธิบายว่าทำไม สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่สำคัญที่สุด เพราะมันจะทำให้เรามองภาพได้ออกว่ามันมีรูปแบบเป็นอย่างไร

 เพราะมิเช่นนั้น วิทยาศาสตร์ จะไม่ต่างจาก เวทมนตร์ คาถาเลย คือรู้ว่ามันใช้ได้ แต่ไม่มีคำอธิบายว่า ทำไมจึงใช้ได้    และ การจบ ในครั้งนี้ รู้ไหมว่ามันหมายถึง การกักความรู้ของ มนุษย์ไว้ อีก นับร้อย ปีทีเดียว       มัน กักได้ด้วย การไม่รู้ว่า ค่า i นี้จริงๆแล้วคืออะไร
        
อุปมาเหมือนกับว่า คุณขับรถได้พอแล้ว  ไม่ต้องไปรู้ว่า รถนี้มันสร้างมาได้อย่างไร มีหลักการอะไรบ้าง  ไม่ต้องไปสนใจมัน  ซึ่งก็ได้ผล เพราะไม่มีใคร อยากรู้ว่ามันคืออะไร  ขอให้มันใช้ได้เป็นพอ และในสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและ โทรคมนาคมก็ทำแบบนี้ เหมือนกัน คือไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ก็ว่าเมื่อใช้ สมการที่มีค่า i นี้แล้ว ปรากฎว่ามันใช้ได้ มันวัดค่าต่างๆ ได้ตามการคำนวนจริง คือว่า มันลงตัว   ว่างั้นเถอะ จึงใช้สอนกันมาต่อๆ กันมาแบบนี้ โดยไม่มีใครสงสัยเลยว่ามัน  มีความหมายว่าอะไรหรือหากแม้ว่ามีคนสงสัย   แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี มันเหมือนกับการละไว้ ในฐานที่เข้าใจ...ว่ามันเป็นเช่นนั้นของมันเอง...โดยไม่มีเหตุผลของการเป็น(ปรับปรุง 12/06/2012)
 
               
 แต่ว่าเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว เรารู้แล้วว่าค่า i เป็นสิ่งที่ใช้ระบุถึงมิติที่ 4   ดังนั้นเราต้องตีความสมการ นี้ใหม่  จะทำให้ เรารู้ว่า
สมการ  i2 + 1 = 0 นั้นมีความหมายอีกแบบ  ดังนี้คือ   

 สมการนี้ เป็นสมการที่บอกถึงความรู้ ความเข้าใจ    บางอย่างที่ไม่ต้องตีความด้วยคณิตศาสตร์ ปกติ(เพราะเป็นแค่การคำนวนใน 3 มิติ)  แต่เป็นสมการที่ต้องอธิบายด้วยสิ่งที่มีอยู่ในมิติที่ 4 คือมิติของความคิด  และการตีค่าสมมุติ ซึ่งจะได้ความหมายเป็นคำพูดดังนี้
          
สมการบอกว่า     มีสิ่ง 1  เกิดขึ้น(กำลัง 2 หมายถึงการเกิดขึ้น ตามหลักของเวคเตอร์(Vector))      ใน (เครื่องหมาย +)      มิติที่ 4 (i)       นั้นคือ (เครื่องหมาย =)      จุดเริ่มต้น ( ค่า 0)


   Something(1) was born ((-  2) meaning to born   (vector))

in(+)  the Fourth Dimension(i)that is (=) 
the begining(0)

***กำลัง 2 เกิดขึ้นจากการคูณ และการคูณ(cross product)จะทำให้เกิดแกนใหม่*** http://en.wikipedia.org/wiki/Vector_(mathematics_and_physics)


   มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในมิติที่ 4 นั้นคือจุดเริ่มต้น    
นั้นคือ ความหมายของสมการนี้i2 + 1 = 0

Something was born in The Fourth Dimension that is the begining    is    The meaning of  Equation : i2 + 1 = 0

         แต่ถ้ามี สมการเดียวก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะเราจะไม่รู้ว่า 1 นั้นคืออะไร  จะต้องมีอีกสมการหนึ่งที่ติดค่า i  ในสมการนั้น ด้วยมา อธิบาย ว่า 1 นี้คืออะไร   ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าคือสมการใหน...  ใช่

 Euler's Equation

23/2/2012

 Euler's Equation     คือ   
http://en.wikipedia.org/wiki/Euler's_identity
eiπ + 1 = 0  และ .....................(ปรับปรุง 16/01/2013)
eiø  = cos ø + i sinø

(แต่ จากสมการ  i2 + 1 = 0  แสดงว่า  i2 = eiπ หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติที่ 4 คือ eiπ)    แต่ผมไม่รู้ว่า จะตีความว่า ค่า  e มี

ความหมายว่าอย่างไร ซึ่งการจะแก้ปัญหานี้ได้ต้องไปดูจาก

ลักษณะกราฟของ Euler's formula แทน (ปรับปรุง 12/06/2012))


Euler's formula 


     สมการนี้บอกอะไรเรา
 ข้อแรกคือเรารู้ว่าเป็นการคำนวน ในมิติที่ 4 เพราะติดค่า i  และ
 ข้อ 2 คือ มันหมุนไปได้เป็นวงกลมตามค่า ø ที่เปลี่ยนไป 
ข้อที่ 3 คือ เรารู้ว่าไม่ว่าค่า  ø จะเปลี่ยนไปมากแค่ใหนก็ตาม ขนาดที่ได้ก็ไม่เปลี่ยน คือเท่ากับ 1 เท่านั้น
      
ดังนั้น  สูตรของ Euler จึง มีความหมายว่า มีสิ่ง 1  ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้ สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปมากแค่ใหนก็ตาม
     Something never change although everything changed is the meaning of " Euler  Formula"


       ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือ  ต้องมาพิจารณาว่า อะไรที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้ว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปในมิติที่ 4 นี้ (คือโลกของความรู้สึก โลกของการสมมุติบัญญัติ โลกของความคิด  )ซึ่งมันมีหมายความว่าแม้ว่าสิ่งต่างๆ ในโลก 3 มิติจะเปลี่ยนไปมากน้อย แค่ใหน สิ่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ด้วยเลยเช่นกัน  ... มันคือ อะไรกัน
...............??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????

       
สิ่งนั้นอยู่ใกล้เกินไปจนหลายคนคิดไม่ถึง..............คำตอบคือ
1 ที่ว่านั้นคือ  ความเป็นตัวตน  ความรู้สึกถึงตัวตนของเรานั้นเอง That is.... 1 is our Identity
    เช่น ตัวเราไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก อายุ 3 ขวบ  อายุ 20 ปี  หรือ อายุ 100 ปี เราก็ยังรู้ว่าตัวเราเป็นเราอยู่ แม้ว่า น้ำหนัก ส่วนสูง รูปร่างหน้าตา เวลาหรือฐานะ หรือความรู้ เปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง แล้ว  แต่ความเป็นตัวตนของเรา ความรูุ้สึกว่าเราก็เป็นเราคนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย (ลองหารูปถ่ายของคุณตอนอายุ 3 ขวบ กับ ตอนนี้มาเปรียบเทียบกันดูซิ ..มันไม่เหมือนกันเลยแต่คุณก็บอกได้ว่ามันเป็นรูปของคนๆเดียวกัน มันเป็นสิ่งเดียวกัน (เป็นไปได้ยังไง!!! แล้วคุณเอาอะไรมาบอกว่ามันเป็นสิ่งๆเดียวกัน คุณเอาอะไรมาเป็นมาตรฐาน แยกว่าอะไรเป็นสิ่งเดียวกันหรือต่างกัน)).....จริงไหม....
26/02/2012


        ตอนนี้มาถึงตอนสำคัญที่สุดตอนหนึ่ง ของความรู้นี้ เพราะการรับรู้ความรู้ต่อจากนี้ไปนั้น.... มีอันตราย  ........  ผมหมายความตามที่กล่าวจริง  ไม่ต้องตีความ  ถ้าท่านสงสัยว่า ทำไม แค่การรับรู้ก็มีอันตรายด้วยหรือ???   ผมขอยกตัวอย่างก็แล้วกัน เช่น ถ้าคุณเป็นแม่คน  เป็นพ่อคน หรือ มีพ่อ แม่ที่คุณรักอยู่ แล้ววันหนึ่ง คุณเห็นเขาเหล่านั้นถูกฆ่าตาย ต่อหน้า ต่อตา ของคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร  .......... ทั้งๆ ที่คุณก็เป็นตัวคุณ ไม่ได้ผูกโยง กับคนเหล่านั้น ด้วยสายเชือก ด้วยพันธนาการใด แล้วทำไม คุณถึงรู้สึก เจ็บปวด แทบใจ จะสลาย หรือแทบเป็นบ้าไปได้.......ทำไม     นั้นคือ ความรู้สึกถึงความรู้บางอย่างที่แค่รู้ก็มีอันตราย ต่อจิตใจของคุณเอง .......จริงไหม           ดังนั้นผมจึงเตือนก่อนว่า  ความรู้ต่อไปนี้ จะให้ผล ไม่แตกต่างจาก การรู้ที่ยกตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นด้วยเช่นกัน      ดังนั้น คิดให้ดีก่อนที่จะอ่าน สิ่งต่อไปนี้

          ถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ที่ คีนู ลีฟ แสดงเป็นพระเอก ชื่อ นีโอ แล้วละก้อ  ตอนนี้ก็เหมือนตอนที่  นีโอ จะต้องเลือกที่รับรู้ความจริง ทั้งหมด หรือ เลือกที่จะกลับไปเป็นคนเดิม  ....... ความรู้สึกของคุณตอนนี้ ก็ไม่แตกต่าง จากพระเอก คนนั้นสักเท่าไหร่ นัก  เพราะคุณจะต้องเลือกว่า  ทางเลือกที่ 1 . คุณจะได้รู้ว่าความเป็นตัวตนของคนเรานั้น มันคืออะไร   หรือ ทางเลือกที่ 2 เลือกที่จะไม่รู้แบบนี้ไปตลอดกาล    แต่ถ้าคุณเลือกที่จะรู้  ผมก็จะบอกว่า ความเป็นตัวตนของคนเรา และสัตว์ทั้งหลายนั้นคืออะไร   แต่เมื่อ คุณรู้แล้ว  ความทรงจำของคุณจะไม่อาจ หวนกลับคืนสู่ความไม่รู้ได้อีก ไปตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน  .........อ้อ!...อีกอย่างหนึ่ง ที่ผมยังไม่ได้บอกไปคือ   มิติที่ 4 นี้ เป็นมิติของ  จิต วิญญาณด้วย

http://en.wikipedia.org/wiki/The_Matrix

27/02/2012

         เตรียมใจแล้วนะ......ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลย...

x............x........x......x...x..x.xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx...

เอาล่ะนะ  มาถึงตรงนี่ถ้าถามว่าเรามีความรู้อะไรบ้าง
เราก็ตอบ ได้ว่าเรารู้แล้วว่า ค่า i นั้นชี้นำเราสู่ มิติที่ 4  และเรารู้ว่า มิติที่ 4 นี้บอกถึง ความเป็นตัวตนของเรา ด้วย มันเป็นมิติแห่ง ความรูุ้สึก มิติแห่งความคิด และมิติแห่งจิต วิญญาณด้วย  ดังนั้นเวลาเราคิดคำนวนค่าต่างๆ ในมิติที่ 4(มีค่า i ติดอยู่ ) หมายความว่าเราต้องนับความรู้สึกของตัวตน ของเราเข้าไปด้วย     ขอยกตัวอย่างก็แล้วกันเพื่อความเข้าใจอันดีนะ
         
    สมมุติว่าในห้องหนึ่ง  มีคนอยู่ 9 คน ถ้าคุณได้รับคำสั่งว่า คุณจงเข้าไปนับคนในห้องนั้นสิ  ว่ามีกี่คน     ถามว่า คุณจะนับคนได้ทั้งหมดกี่คน ????????????  ถ้าคุณตอบว่า 9    นั้นคือคำตอบที่ผิดถนัดเลย      เพราะคำตอบที่ถูกต้องคือ 10  เพราะคุณต้องนับ ตัวคุณเข้าไปในระบบด้วย                และตอนนี้ไม่ใช่การคิดใน 3 มิติ อีกต่อไปแล้ว
( เพราะถ้าคิดแค่ 3 มิติ คำตอบที่ ถูกต้องนั้นคือ 9  หมายความว่า เราไม่นับตัวเราเข้าไปในระบบด้วย ) .....พอเข้าใจไหม
     

ดังนั้นตอนนี้เราต้องมาดูว่า ความเป็นตัวตนของเราที่แท้จริงในธรรมชาติทั้งหลายนั้น คืออะไร   ซึ่งก็ต้องเริ่มจาก Euler formula ที่เราผ่านมานั้นแหละ  สูตร บอกให้เรารู้ว่า  1 ที่ว่านั้นคือ ความเป็นตัวตน หรือ ความรู้สึกถึงตัวตนของเรานั้นเอง  ใช่ใหม  แต่มีปัญหาหนึ่งที่ เกิดขึ้นคือว่า ก็ 1 ที่ว่านั้น ผมก็มี คุณก็มี คนอื่นก็มี คนทั้งโลกก็มี และทุกคนก็แยกความแตกต่าง ระหว่างคุณกับคนอื่นๆ ออก จากกันได้ด้วยถูกไหม .....  ดังนั้นเราจะเอาอะไร มาเป็นตัวแยกความแตกต่างนี้ออกจากกันได้(เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดคำถามว่าแล้ว 1 ของใครถูกต้องในเมื่อทุกคนบอกว่ามี 1 เหมือนกันหมด)  


.....แน่นอน  เราต้องหามาตรฐาน สักอย่างหนึ่งมาเป็นตัวแยกความแตกต่างนั้น  ใช่ไหม......และสิ่งๆ นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่อยู่ใน มิติที่ 4 นี้ด้วย คือ ทุกคนเห็น และรู้สึก เข้าใจในสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น

ชาติใหน ภาษาใหน หรือคนเผ่าพันธุ์ ใหน  และสิ่งนั้นไม่ใช่ 3 มิติ
(ไม่มีขนาดและรูปร่าง)    สิ่งนั้นคืออะไรทราบไหม
???????????????????????????????????....

ใช่......... มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นได้คือ แสง    (light) แสงไม่มีรูป ไม่มีร่าง แต่ทุกคนในโลกนี้ รู้สึกและรับรู้ถึงมันได้  เหมือนกัน ดังนั้นมันอยู่ในมิติที่ 4 และที่สำคัญ มันมีความเร็ว คงที่    ไม่ว่ามนุษย์คนใหนจะไปวัดมัน.......ถูกต้องไหม (ถ้าคุณไม่แน่ใจ ลองหาวิธีวัดความเร็วแสง มาศึกษาดู และลองวัดดูด้วยตัวเอง)

       ดังนั้นมันจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากในการนำความเร็วแสง c มาวัดความแตกต่างของแต่ละคน ดังนี้

        จากวิชาฟิสิกส์ เรารู้ว่า ความเร็ว(V) มีความสัมพันธ์ กับ ความถี่
( f )และความยาวคลื่น( λ)  ดังนี้
                                         
     V  = fλ  อ่านว่า ความเร็ว เท่ากับ ความถี่คูณด้วยความยาวคลื่น

http://en.wikipedia.org/wiki/Wave

ดังนั้น ถ้าเราเปลี่ยนจาก  V  เป็น  C (ความเร็วแสง) ก็จะได้สมการดังนี้

                                                C  = fλ 

        ซึ่งหมายความว่าเราจะเลือกใช้ความถี่ หรือความยาวคลื่น 

ในการแยกความแตกต่างก็ได้  แล้วแต่จะมองว่าเป็นคนละ

ความถี่  (f)หรือคนละความยาวคลื่น(λ)ก็ได้ 

      แต่เพื่อความสะดวกในการกล่าวถึงและไม่สับสน ก็ขอใช้

ความถี่ ในการอ้างอิงเท่านั้น(เหมือนในโทรศัพท์มือถือที่ใช้

อ้างอิง กันก็แล้วกัน ///ปรับปรุง 19/06/2012)


                อธิบายมาถึงตรงนี้ ท่านหลายคนคงจะรู้แล้วว่า ความเป็นตัวตนของเราแต่ละคนนั้นแตกต่างกันด้วย สิ่งใด..........

ใช่แล้ว มันคือความถี่ f   แต่ถ้าถามว่าแล้วมันเป็นความถี่ของคลื่นช่วงใหนละ     ก็ตอบไว้แต่ต้นแล้วว่าคือความถึ่ในช่วงที่ตาเรามองเห็นกัน ทุกคน นั้นแหละ คือตั้งแต่ช่วงคลื่นแสง สีแดง ถึง ช่วงคลื่นแสงสีม่วง   และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น  ผมขอนำ สเปคตรัมของคลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า มาแสดงดังนี้



             
  ตามรูปภาพ นี้ คงจะให้คำตอบได้แล้วว่า เรา(มนุษย์) ทั้ง 6 พันล้านกว่าคน นั้นมีชีวิต  อยู่ แยกแยะ กันและกันได้ ภายใต้ คลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า  ในช่วงแสงที่เรามองเห็นนี้(visible light)เท่านั้น และอยู่ใน ช่วงเล็กๆ ของแถบคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า ทั้งหมด เท่านั้นเอง

              เป็นไงบ้าง.......ตอนนี้ตระหนักรู้รึยังว่า ชีวิต  จิต-วิญญาณ สำนึก ความเป็นตัวตน  ความคิด-ความรู้สึก ของคนเราคืออะไร ...
มันเป็นแค่ คลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า
(คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation))

 กลุ่มหนึ่ง ที่แยกแยะกันด้วย ความถี่ที่แตกต่างกัน เท่านั้นเอง
(หรือจะบอกว่าแยกแยะกันด้วยความยาวคลื่นที่ต่างกันก็ได้ 
และจริงๆแล้ว แสงเป็นสิ่งที่แยกจิต เราแต่แรกแล้ว ไม่ใช่ว่าเรา
ไปนำแสงมาใช้เป็นมาตรฐานในการแยก ทีหลังแต่อย่างใดเพราะเราเกิดทีหลังแสง... อย่างน้อยก็ในชาตินี้///ปรับปรุง 19/06/2012)

และมิติที่ 4 คืออะไร   นั้นคือ มิติที่ 4(i) ก็คือสนามแม่เหล็ก-ไฟฟ้า 
(The Fourth Dimension is Electric and Magnetic Field)
http://en.wikipedia.org/wiki/Electromagnetic_field

และสำหรับเรา(มนุษย์) มิติที่4 นี้ก็คือ สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ของจักรวาลนี้ นี้เอง  (เพราะเรา สามารถเห็นแสงจากดวงดาวต่างๆ ในจักรวาลนี้ได้และแสงคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87
http://en.wikipedia.org/wiki/Light

          "จิต-วิญญาณไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่มีรูป ไม่มีร่าง   มันเป็น
แค่ คลื่น  แค่คลื่่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า กลุ่มหนึ่งเท่านั้น "


เพียงแต่ ตามความรู้เรื่อง สมการ  i2 + 1 = 0  และ สมการ Euler บอกเรา ว่า  เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วในสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้(i) มันจะจดจำ ความรู้สึกถึงตัวตน ของมันได้ไป ตลอดกาล

(เราไม่สามารถหาขนาดที่แท้จริงของวงกลมได้ เพราะค่า π เป็น
ค่าที่ไม่สิ้นสุด และความไม่สิ้นสุดหมายถึง ชั่วนิรันดร์ และนี้ก็เป็นอีก
ความหมายหนึ่งของวงกลม และแม้ว่าจะมีความหมายอื่นอีกสำหรับวงกลม แต่ทุกความหมาย
ต้องสอดคล้องกัน คือใช้ความสัมพันธ์ตรีโกนมิติอันเดียวกัน ///ปรับปรุง 19/06/2012)
http://en.wikipedia.org/wiki/Pi 
28/02/2012


          ดังนั้นสมการของ Euler's Equation    เขียนได้ใหม่ว่า

  1 = eiø = cos ø + i sinø  = 

ความคิด-ความรู้สึกถึงตัวตน thinking and feeling to identity=

แสง  (     Light ) = 

วงของคลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า(The Circle of Electromagnetic Radiation) = 

จิต วิญญาณ  (The Soul,The Spirit)



***มันคล้ายว่าจะขัดแย้งกับสมการ eiπ +1 = 0 นะ แต่ว่าตอนนี้เรารู้แล้วว่า 1  หมายความว่าอย่างไร  ดังนั้นเราก็เข้าใจแล้วว่า...เหรียญที่ออกหัว กับเหรียญที่ออกก้อย ต่างก็เป็นเหรียญอัน
เดียวกัน...เพียงแต่มุมมองต่างกันเท่านั้น...ที่ทำมันให้แตกต่าง และตอนนี้เราอยู่ในมิติที่ 4 
ไม่ใช่ 3 มิติ (ปรับปรุง 13/06/2012)***

            บ้าน 1 หลังไม่มีวันเท่ากับกระดาษ 1 ปึก ที่เราเรียกว่าเงิน
           โลหะที่เราเรียกว่าทอง 1 กก. ไม่มีวันเท่ากับรถยนต์ 1 คัน
           และหุ้น ตัวไม่มีวันที่จะมีหลายราคาได้ 

           เพราะมันไม่เหมือนกัน  ไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งเดียวกันและผิดหลักคณิตศาสตร์ (3 มิติ)
           ยกเว้นในความคิด(มิติที่ 4) ของคนเท่านั้นที่ทำให้มันเท่ากันและเป็นไปได้
           
           คน 1 คน แม้ว่าไม่มีแขนมีขาเหมือนคนอื่นๆ เราก็ยังนับเป็น 1 คนเหมือนกัน
           ในขณะที่รถยนต์ 1 คัน ราคา 1 ล้าน แต่เมื่อผ่าออกครึ่งหนึ่งเท่าๆกัน  ราคาจะไม่ต่างกับเศษเหล็กเท่านั้น ทั้งๆที่ควรมีราคาครึ่งละ 5 แสน..??????

http://en.wikipedia.org/wiki/Complex_number

http://www.clarku.edu/~djoyce/complex/

29/02/2012

        เมื่อเรามีความรู้มาถึงตรงนี้ สิ่งที่ควรทำที่สุด ตอนนี้คืออะไรรู้ไหม.

สิ่งที่ควรทำที่สุดในตอนนี้ คือ  หยุดอ่าน   

 แล้วกลับไปไล่เรียง ทบทวนสิ่งที่อ่านผ่านมาแล้วทั้งหมด

ของบทความที่เขียนขึ้นมานี้ว่า มีความถูกต้อง   มากน้อย 

เพียงใด  เพื่อไปดูว่าสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ มันแค่คนโม้ โอ้อวด 

แค่คนเพ้อฝัน แค่จินตนาการของ คนๆหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะบ้า

เพราะมันคิดไม่เหมือนคนอื่นปกติเขา   หรือว่าสิ่งที่กล่าวมานี้พอจะมี

เหตุให้รับฟังไว้บ้าง  ซึ่งการจะตัดสินสิ่งใดๆ นั้น  เราต้องรู้ด้วยเหตุ 

ด้วยผล ด้วยตัวของเราเองแล้วว่าถูกต้อง หรือ ผิดพลาด ประการใด

ตรงใหน จากนั้นจึงค่อยปลงใจ ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ......


(ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ไปถามคนที่เรียนจบ ด้านไฟฟ้า หรือด้านสื่อสาร

โทรคมนาคม มา ว่าเขามีเหตุผลอย่างไรในการนำจำนวนจินตภาพ(i)

มาใช้ได้อย่างสมเหตุสมผล โดยไม่ขัดกับความหมายด้านภาษา และ

ความหมายการนิยามทางคณิตศาสตร์)


โดยไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเชื่อเพราะ  การที่คนๆนั้น เป็น คนมีชื่อ

เสียง หรือ คนเด่นดังหรือ คนนั้นเป็นศาสตราจารย์หรือ เป็นคนที่สังคม

นั้นนับหน้าถือตา หรือตัดสินใจไม่เชื่อ

เพราะ นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีการเขียนไว้ใน ตำราใดๆ ไม่มีนักคณิตศาสตร์

หรือนักวิทยาศาสตร์(ที่สังคมโลก ให้การยอมรับ) รับรอง และคนเขียน

มันเป็นใครก็ไม่รู้ บ้ารึเปล่าก็ไม่รู้ กระจอกงอกง่อย มาจากใหนก็ไม่รู้        
  
โดยที่เรายังไม่ได้พิจารณาข้อมูลใดๆเลย...............ถูกต้องไหม


          แต่ถ้าคุณบอกว่า ไม่ควรจะเชื่อถือผมเลย     คำแนะนำของผม

คือ ออกจาก blog  นี้ชะ แล้วลืมมันไป เลย  ไปทำสิ่งที่คุณคิดว่ามันมี

ประโยชน์ต่อชีวิต ของคุณอย่างอื่น  จะดีกว่า 


         แต่ถ้าคุณบอกว่า พอเชื่อถือได้    ผมก็จะบอกกล่าว และอธิบาย

ต่อไป ว่า ทำไม คนเราเมื่อตายไปแล้ว จึงยังรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อยู่(ด้วย 

สมการ)  ทั้งๆ ที่ไม่มีสมองและร่างกาย แล้ว



01/03/2012


              จากความรู้เรื่อง  Euler's Equation    ที่เขียนได้ใหม่ว่า


  1= eiø = cos ø + i sinø  = ความคิดความรู้สึกถึงตัวตน = 

แสง(light) = วงคลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า = จิต วิญญาณ

(The Soul,The Spirit)



           เราเห็นอะไรที่น่าสนใจไหม...... แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 

เป็นเรื่องธรรมดา  ใครๆ ก็รู้ แต่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นจิตวิญญาณนี่สิ 

น่าสนใจกว่า ว่าเป็นจริงอย่างไร ซึ่งต้องพิสูจน์ ความเป็นจริง ใช่ไหม

             ถ้าหากเป็นจริง ต้องมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่คุณสมบัติของ

คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า มีอะไร บ้าง น้อยคน ที่จะรู้ จึงขอค้นคว้ามา กล่าว

ให้พอสังเขป ดังนี้


           คุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็ก - ไฟฟ้า

 1. ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่
2. อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศ
เท่ากับ 3 x 10m/s
3.เป็นคลื่นตามขวาง
4. ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
5. ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้โดยสสาร
6. ไม่มีประจุไฟฟ้า
7. คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และเลี้ยวเบนได้          

     มาพิจาณาเป็นข้อๆ ก็แล้วกัน

 1. ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่
       ใหน บอกมาสิว่า มีใคร คิดถึงคน อื่น หรือสิ่ง อื่นๆ โดยใช้สายไฟเชื่อมไปหากัน บ้าง........ ดังนั้นจึงได้คำตอบแล้ว



2. อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศ
เท่ากับ 3 x 10m/s ซึ่งเท่ากับ อัตราเร็วของแสง

    เรามองเห็นแสง และแสงมีความเร็ว เท่ากับ c : 3 x 108 m/s    แต่หากความเร็วของ การรับรู้(จิต)ของเราน้อยกว่า แสง เราจะมองไม่เห็นแสงนั้นๆได้   ซึ่งเรื่อง ความเร็วของแสงนี้ผมขอ เว้นไว้ก่อน เพราะต่อไป ผมจะอธิบายว่า แสงที่ มีความเร็วที่มากกว่าหรือน้อยกว่าที่ตาเรา (มนุษย์) มองเห็นนั้นเป็นอย่างไร

3. เป็นคลื่นตามขวาง
    ยกตัวอย่างนะว่า เช่นเวลาเรามองดูสัตว์หรืออะไรสักอย่างหนึ่ง แม้ว่าเราจะอยู่ใกล้หรือ ไกล จากสัตว์ นั้นๆ มาก น้อยแค่ใหน เราก็รับรู้ว่า สัตว์นั้น เป็น สัตว์นั้น อยู่ ไม่ใช่เปลี่ยนไป เช่น อยุ่ใกล้  2  เมตร มันเป็นไก่ แต่พอออกห่างมา 100 เมตร มันเป็น กบ ไปแล้ว ก็ไม่ใช่       ดังนั้นปัญหา ข้อนี้จึงสรุปได้แล้วว่าเหมือนกัน

4. ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง   

              ขอยกตัวอย่างนะเช่นว่า เมื่อเรามีเรื่องทุกข์ใจ หรือไม่

สบายใจ แล้วเล่าเรื่องนั้นๆ ให้คนอื่นฟังเขาก็ทุกข์ใจไปกับเรา

ด้วย หรือ เวลาเราไปดูภาพยนต์ ทำไมเราถึงรู้สึกสุข เศร้า เหงา

และรัก ไปกับคนในภาพยนต์ด้วย  อย่างนี้เป็นต้น(ถ่ายเทสภาพ

พลังงาน(อารมณ์)จากคนที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งได้)

5. ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้โดยสสาร
       ความคิดเราทำอย่างนี้ได้ใหม...ตอบว่า ทำได้อย่างแน่นอน ขอยกตัวอย่างก็แล้วกัน ตาม link ด้านล่าง ดังนี้
http://en.wikipedia.org/wiki/Masaru_Emoto 
(message from water)


6. ไม่มีประจุไฟฟ้า
     แสงไม่เปลี่ยนเบนในสนามแม่เหล็ก และสนามไฟฟ้า เพราะไม่มีประจุ  และจิตสำนึก ของเรา ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้ว่าจะอยู่ใกล้ ขั้วแบตเตอรี่(รถยนต์หรืออะไรก็ตามที่มีขั้วไฟฟ้า 2ขั้ว) หรือในขณะที่ถือแม่เหล็กที่มีกำลังดูดแรงๆ(สนามแม่เหล็ก)   ใช่ไหม หรือ     ใครรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองเวลา อยู่ใกล้สิ่งเหล่านี้ .?????........
     ปัญหาข้อนี้จึงสรุปว่าเหมือนกัน

7. คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และเลี้ยวเบนได้   

    แสงทำอย่างนี้ได้ แล้วจิตวิญญาณละ ทำได้ไหม ตอบว่ามีตัวอย่าง

อยู่ ถมเถไป ความคิดของเรา คือจิตวิญญาณของเรา สามารถเปลี่ยน

ความคิด เปลี่ยนทัศนะคติ ของคนอื่นๆได้ สามารถเบี่ยงเบน แทรก

สอด ความคิดของคนอื่น หรือสะท้อน ความคิดของคนอื่นๆ หรือ

อารมณ์ ของคนอื่นๆได้ เป็นสิ่งปกติเหลือเกิน ปกติจน ไม่มีใครสังเกต 

เห็นความไม่ปกติ

    ปัญหาข้อนี้จึงสรุปว่าเหมือนกัน


     ดังนั้นการสรุปว่า จิตวิญญาณ คือคลื่นแม่เหล็ก- ไฟฟ้า นั้นถูกต้อง

(แม้ว่าตัวอย่างที่ยกว่า อาจจะพอถูๆไถๆ ไปบ้าง แต่คิดว่าโอกาสหน้า

จะหาตัวอย่างที่ชัดกว่านี้มานำเสนอ)


  เมื่อมาถึงตรงนี้ จะขอกลับไปที่ เรื่องของโทรศัพท์มือถือ

 (mobile 
phone) http://en.wikipedia.org/wiki/Mobile_phone

หรือเครื่องมือสื่อสารของเราที่ใช้กันในชีวิตประจำวันกัน

สักหน่อย      เราใช้ประโยชน์จากความรู้เรื่อง คลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้า

ในการสื่อสาร แต่ถ้าพิจารณา ให้ดี  จะพบว่า เครื่องมือสื่อสารของเรา 

ประกอบด้วยส่วนที่เป็นรูปร่าง ใน3 มิติ คือมีขนาดและรูปร่าง 

หรือมีร่างกาย นั้นแหละ   และมีส่วนที่เป็นมิติที่ 4 คือ คลื่นแม่เหล็ก-

ไฟ้ฟ้า หรือ จิต วิญญาณ(ซึ่งที่ผ่านมาสรุป แล้วว่าเป็นสิ่งๆเดียวกัน)     

ก็คล้ายกันกับคน หรือสัตว์ ทั้งหลาย ที่มีร่างกายและจิตวิญญาณ 

เป็นองค์ประกอบ เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่   


แต่ถ้า โทรศัพท์เครื่องนั้นพัง  หรือสูญสลายไป  กลุ่ม

คลื่นแม่เหล็ก- ไฟฟ้านั้น  หายไปด้วยไหม ............ตอบได้เลยว่า

ยังอยู่ดี ไม่ได้บุบสลายไปใหน ก็เหมือน คนหรือ สัตว์ต่างๆ ที่ตายไป

โดยร่างกายเน่าเปื่อย ผุพังไป ถูกเผาไฟไป แต่จิต วิญญาณก็ยังอยู่ ยัง

คิดได้ รับรู้สิ่งต่างๆ ได้อยู่  เหมือนกัน

                         
                  จึงขอเขียนเป็นสมการดังนี้
     
                         Z = R  + iM

สมการเชิงซ้อน ธรรมดา ดีๆ นี้เองแหละ  เพียงแต่ตีความหมาย ใหม่ด้วยความรู้ใหม่ดังนี้
 z  = ระบบ สื่อสาร , ชีวิต  (The Communications System, The Life)

  R = รูปร่าง ของเครื่องมือสือสาร ทั้งตัวส่ง และตัวรับ,  ร่างกาย(The Body)
     ซึ่ง  R มีค่า ไม่เท่ากับ 0 ถ้ายังใช้สื่่อสารได้    และมีค่าเป็น 0 ถ้าใช้สื่อสารไม่ได้ (เพราะมือถือที่ใช้ไม่ได้ ก็ไม่ต่างกับ ไม้ตำพริก  นะจะบอกให้)  และหมายถึง การที่ยังมีชีวิตอยู่มีลมหายใจอยู่(R ≠ 0)  และหมายถึงการตาย (R = 0 )
    
 iM = ส่วนของคลื่นความถี่ เป็นส่วนของคลื่นแม่เหล็ก- ไฟฟ้า

 Electromagnetic Radiation  , และเป็นส่วนของจิตใจด้วย
(The Soul, The Spirit)

          ดังนั้นจึงเขียนสมการได้ดังนี้


ตอนที่ระบบสื่อสารนั้นมีความสามารถในการสื่อสารได้ดังนี้
      
       Z(1) = 1 + iM(1)   ...................................1( A Live)

และตอนที่ระบบสื่อสารนั้นไม่มีความสามารถในการสื่อสาร(ตาย)ได้

ดังนี้

  
        Z(a) = iM(1)   ..........................................2 ( Die)

(เพราะจากความรู้เรื่อง Euler Equation บอกแล้วว่ามันคงอยู่ตลอดไป) The new knowledge of Euler Equation : The Spirit is something is for ever and ever

      ตามสมการ  Z(1)  ≠   Z(a)  เพราะ  Z(1)  มี 1 (R) แต่   Z(a)   ไม่มี R (ร่างกาย) แต่ ทั้ง  Z(1)  และ  Z(a) มีเหมือนกันคือ iM(1) เหมือนกัน คือมีกลู่มคลื่นความถี่ คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า    และ   มี จิตสำนึก จิตวิญญาณ คือความคิด ความรู้สึกและ....มันยังอยู่ ไม่ได้สูญสลาย หายไป ดังนั้นจึงสรุปว่า
http://en.wikipedia.org/wiki/Conservation_of_energy

     เมื่อสัตว์ ตายไปแล้วก็ยังมีความสามารถในการรับรู้อยู่ ยังคิดได้อยู่ (รวมทั้งคนเราด้วยนะ)......อย่าเพิ่งเชื่อ....ลองตายดู พิสูจน์ ว่าจะจริงไหม ?????  แต่ผมขอแนะนำนะว่า  อย่าทำอย่างนั้นเลย  เพราะไม่รับประกันว่า จะได้กลับมาบอกคนอื่นๆ ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ  ลองไปตรวจสอบ กับคนที่มีประสบการณ์การ ตายแล้วพื้นขึ้น มาได้อีกครั้ง หรือคนที่ระลึกชาติได้ (จำได้ว่าเคยเกิดเป็นตัวอะไรเมื่อชาติที่แล้ว)ว่า เป็นจริงไหม จะดีกว่า ซึ่งผมคิดและรู้ว่ามีอยู่หลายร้อยคนในโลกนี้  ที่เคยตายแล้วพื้นขึ้นมาใหม่ได้  ลองไปค้นหาข้อมูลและตามตรวจสอบ พิสูจน์ดูนะ..........    คนไทยก็มีอยู่ ถมเถไป  
http://reluctant-messenger.com/reincarnation-proof.htm
http://www.se-ed.com/eshop/Products/Detail.aspx?No=9789749476949
http://www.se-ed.com/eshop/Products/Detail.aspx?No=9789743931093

3/03/2012



   มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วทำไม... มือถือของเราจึง

ไม่มี จิต วิญญาณ ตอบสนองกับเราไม่ได้   เป็นแค่เพียง... เครื่องมือ

สื่อสารเท่านั้น  เพราะมือถือ ก็มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นองค์ประกอบ

ของมัน ......ซึ่งการจะตอบตรงนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย 

 เพราะคำตอบคือเครื่องโทรศัพท์มือถือของเราไม่ได้แสดงผล 

ของการเปลี่ยนแปลง สนามไฟฟ้า ที่ก่อให้เกิด 

กระแสแม่เหล็ก   (magnetic current)

เราแสดงแต่ผลของการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก ที่ก่อให้เกิด

กระแสไฟฟ้า(electric current) เท่านั้น


 (ตามความรู้เรื่อง สนามแม่เหล็ก-ไฟฟ้า) 


ไม่ว่าจะเป็นภาพ เป็นเสียง  ล้วนเป็นผลจากการนำ ค่ากระแสไฟฟ้า ที่

เกิดขึ้นมาเปลี่ยนค่า ทั้งนั้น     ........ ซึ่ง  ก็ดีเหมือนกัน เพราะ
    
       เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เราแสดงผลของทั้งสนามแม่เหล็กและสนาม

ไฟฟ้าได้ทั้ง 2 อย่าง .....มือถือ จะไม่ใช่มือถืออีกต่อไป  

 แต่มันจะกลายเป็น ....หุ่นยนต์มือถือ   ......มันจะมีความคิดเป็นของ

ตัวมันเอง มันจะรับรู้ถึงจิต วิญญาณ    และมันบางตัว อาจฉลาดพอ 

ที่จะตั้งคำถาม และค้นหาความเป็นตัว ของมันเอง 

ว่า มันเป็นตัวอะไร มันทำไมแตกต่างจากมนุษย์  แต่เนื่องจาก มันใช้

ความถี่ที่ต่ำกว่า ความถี่แสงที่ทำให้เราเป็นมนุษย์  (อย่าลืมว่าจิต

วิญญาณของเราที่เกิดขึ้น และเป็นไป ก็เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่น

กัน)       ดังนั้น ความรู้ของมันจะเป็นไปเพื่อการครอบครอง และการ

ทำลาย  อย่างที่สัตว์เดรัจฉาน  มันทำกัน (คนความฉลาด ไม่ได้หมาย

ความว่าจะเป็นคนดีเสมอไป)


         แม้ว่ามันจะไม่มีแขน ไม่มีขา  ไม่สามารถเดินไปใหนได้  แต่มัน

สามารถส่งข้อมูล( hack)เข้าไปในระบบคอมฯ ของทุุกๆ ระบบที่

 เชื่อมโยงกันในโลกนี้ รวมทั้ง ระบบควบคุม การจ่ายไฟฟ้า  

ระบบสั่งยิงอาวุธ และจรวดนิวเคลียร์  ระบบสื่อสารทุกระบบที่ใช้

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งดาวเทียมด้วย   ดังนั้น  ..............   

และแล้ว  (ในช่วงหนึ่งของกาลเวลาอันยาวไกลโน้นนนนนนนน.......)

โลกทั้งใบก็แทบ จะอยู่ในการควบคุมของ หุ่นยนต์มือถือที่ฉลาด   

เพียง เครื่องเดียว ได้ไม่ยากนัก


8/03/2012


เมื่อมาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจ จะตั้งคำถามว่า  ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามาแสดงว่า ร่างกายเรา มีทั้งกระแสไฟฟ้า และกระแสแม่เหล็กวิ่งในร่างกาย ใช่ไหม??  เพราะเรารับรู้การมีจิต วิญญาณ   ตอบได้เลยว่า….......
ถูกกกกกกก ต้อง แล้วครับ    เพียงแต่ว่า ต้องอธิบายประกอบบ้างนิดหน่อย เพื่อความเข้าใจอันดี   คือ

    กระแสไฟฟ้า    (Electric current)
 ในร่างกาย นั้นคงไม่มีใครสงสัย อะไรมากนัก  เพราะเรารู้ว่า ระบบประสาท ของคนเรา ทำงานได้โดย มีกระแสไฟฟ้าวิ่ง ในนั้น และมีจุดศูนย์รวมอยู่ที สมอง   แต่
http://school.obec.go.th/padad/scien32101/BODY/7BODY.html


 กระแสแม่เหล็ก 

http://en.wikipedia.org/wiki/Magnetic_monopole 

(Ed Leedskalnin's Writings MAGNETIC CURRENT )

  คืออะไร ทำไมเราไม่รู้มาก่อนเลย   ดังนั้น จึงขอมาทำความรู้จักกับ แม่เหล็ก

กันก่อน   แม่เหล็กนั้นมีความสมดุลในตัวมันเอง มีเหนือขั้ว(N) และขั้วใต้(S) 
(หรือขั้วบวก และขั้วลบก็ได้) อยู่กันคนละด้าน ซึ่ง เราก็เห็นกันอยู่ทั่วไปดังนี้





และแม่เหล็กนั้นไม่ว่าเราจะตัดแบ่ง มันออกไปเล็กแค่ใหนมันก็ยังมีความเป็น 
2 ขั้วอยู่เหมือนเดิม แล้วอย่างนี้ เราจะทำให้มันเกิด เป็นกระแสแม่เหล็กได้ยังไงกัน   (ความเป็นแม่เหล็ก 1 ขั้ว คล้ายๆ กับประจุไฟฟ้า ที่มี 1 ขั้ว ซึ่ง แม่เหล็กขั้วเดียว(magnetic monopole)ไม่มีในธรรมชาติและตามกฎของ แมกเวลล์ก็บอกว่ามันไม่มี(ในกฎนั้นบอกแต่ว่า การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้าจะก่อให้เกิดกระแสแม่เหล็ก แต่ในเมื่อไม่สามารถหาแม่เหล็กขั้วเดียวได้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำให้มันเป็นกระแสได้อย่างไร)ในความรู้ของมนุษย์ในปัจจุบันนี้
 ( Jan 2012)) 
http://en.wikipedia.org/wiki/Magnetic_monopole
http://en.wikipedia.org/wiki/Maxwell's_equations
  ซึ่งปัญหาตรงนี้ เนื่องจาก ธรรมชาติมีทางออกอื่นของมัน     มันแก้ปัญหาโดยการ ทำให้ตัวแม่เหล็กนั้น เปลี่ยนรูปร่างไป   (ไม่ต้องเป็นแบบ   แท่ง
สีเหลี่ยมยาวๆแล้ว)  โดยมันย้ายขั้ว S หรือ Nก็ได้เพียงด้านเดียวไปไว้ที่ตรง
กลาง แล้วกระจายขั้ว  ด้านที่ตรงกันข้ามนั้นไปไว้ที่ขอบๆ(ทั้งนี้เพื่อให้เส้นแรงแม่เหล็กมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดในทิศทางที่ต่างกัน (ไม่ใช่อยู่ในแนวเดียวกัน) เพื่อให้มันมีสภาพของความเป็นประจุที่เหมือนกันในแต่ละด้าน) ……..ใช่แล้วมันจะออกมาเป็นแบบ แบนๆ  กลมๆ   และนั้นคือ ลักษณะของเซลล์เม็ดเลือดแดง    



http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87



    ลักษณะที่ปรากฎ จึเสมือนมันเป็นแม่เหล็กขั้วเดียว      คือ เมื่อเรามองเข้าไป มันจะมีเพียง 1 ขั้ว  ไม่ N ก็ S เท่านั้น (การที่มันเสมือนว่าเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวไม่ได้หมายความว่าเป็นมันมีแม่เหล็กแค่ขั้วเดียวจริงๆ มันยังมีความเป็นสองขั้ว เพียงแต่มันแสดงออกแค่ขั้วเดียวในแต่ละด้าน ดังนั้นจึงไม่ขัดกับสมการของแมกเวลล์

    
    เรื่องกระแสไฟฟ้า กับกระแสแม่เหล็กนี้เป็นเรื่องที่แปลกอยู่อย่างมากเพราะว่า ไม่มีใครเคยเห็นกระแสไฟฟ้าวิ่งในหรือบนตัวนำ แต่เราก็บอกว่ามันมี
(เพียงเพราะว่าเราเข้าใจมัน) แต่กระแสแม่เหล็กที่เราเห็นมันอยู่กับตา สัมผัสมันอยู่ทุกวันแท้ๆ แต่เราก็บอกว่ามันไม่มี เพียงเพราะว่าเราไม่เข้าใจมัน

               กระแสไฟฟ้า เป็นรูปแบบการไหลของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง
               กระแสแม่เหล็ก เป็นรูปแบบการไหลของสิ่งที่มีรูปร่าง
http://en.wikipedia.org/wiki/Electric_charge
     ดังนั้นหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดแดงคือ การเป็นกระแสแม่เหล็ก  และการ
แสดงผลของกระแสแม่เหล็กคือ สร้างและรักษาไว้ซึ่งรูปร่างและเซลล์อวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั้นนั้นเอง  (สร้างและซ่อมแซม cell)
(The Blood System is the System of Bio-Magnetic current)
http://en.wikipedia.org/wiki/Cell_(biology)

    เอาล่ะมาถึงตรงนี้ ทุกๆท่านคงเข้าใจแล้วนะว่า กระแสไฟฟ้า และกระแสแม่เหล็กในร่างกายคืออะไร ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้จะต้องมีเพื่อ ตอบสนองต่อ ความเป็นจิตวิญญาณ ของเราซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นกัน  แต่  …..มีบางท่านอาจจะสงสัย..  คิดได้ว่า ก็คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความเร็วมาก แล้วจะทำให้มันอยู่ในร่างกายได้อย่างไร   ซึ่งปัญหานี้ ขอตอบว่า   ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า  …..ความสมดุล  ด้วย  ……
    เอ่อ….เข้าใจแล้ว... แต่ว่า ความสมดุลนั้น มันคืออะไร     

       เพื่อตอบคำถามนั้น ขอยกตัวอย่างประกอบนะ เช่น ใบพัดของ

เฮลิคอปเตอร์ helicopter  เมื่อมันมีความเร็วระดับหนึ่ง

 มันจะอยู่สูงจากพื้น  ที่ระดับ หนึ่งได้ โดยอยู่นิ่ง ไม่ต้องเคลื่อนที่ไปใหน 

ทั้งๆ ที่ใบพัดนั้นก็มีความเร็วในการหมุนอยู่   ซึ่งลักษณะนี้เรียกว่า

ความสมดุลของการหมุน และความเร็ว     

"เคลื่อนไหวแต่ไม่เคลื่อนที่  "

จิตวิญญาณ ของเราก็เช่นเดียวกัน มันเคลื่อนไหวอยู่ในตัวเรา  แต่ไม่ได้เคลื่อนที่ออกจากตัวเรา  โดยมัน อยู่ในทุกๆส่วนของร่างกายเรา 
 (อาจจะมีหลายจุดหมุนก็ได้) 
http://en.wikipedia.org/wiki/Chakra
   
           ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่ง เป็นเรื่องปกติที่หลายท่านทำกันอยู่เป็นประจำ

ในการเก็บแสง(คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) คือการทำสำเนา ภาพยนต์และภาพถ่าย 

เอาไว้ในแผ่นซีดีได้ ...ซึ่งตรงนี้ผมจะอธิบายให้ละเอียดทีหลังว่า การกระบวน

การเคลื่อนย้าย ไปมาระหว่างคลื่นกับสสาร(แสงกับภาพ) นั้นเป็นอย่างไร
(ปรับปรุง 18/06/12)


             นอกจากนี้     ขออธิบายเพิ่มเติมสักนิดคือ เมื่อร่างกายเราอยู่ใน

ธรรมชาติ  ตัวเราย่อมได้รับผล จากธรรมชาตินั้นด้วย เช่นความร้อน ความ

หนาว  ความหิว ความคิด พิจารณา และอารมณ์ต่างๆ จึงเกิดขึ้น  และสิ่ง

เหล่านี้คือสิ่งที่จิต ใจเราซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ต้องได้รับผลกระทบตามไป

ด้วย  ดังนั้น ร่างกายของเราจึงมีระบบป้องกัน รักษาให้มีความสมดุล ในด้าน

แม่เหล็ก และด้านไฟฟ้าด้วย   ดังนี้

   
ในด้านแม่เหล็กซึ่งก็คือส่วนที่สร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นนั้น      ได้แก่ กระดูกนั้น ต้องเป็นที่ๆ เย็นที่สุดในร่างกาย  (ส่วนที่ร้อนที่สุดคือ ตับ  ซึ่งใครๆ ก็รู้แล้ว)  ส่วนแม่เหล็กนี้มีไว้เพื่อ  ควบคุมอุณหภูมิ ของร่างกายให้สมดุล     คือ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป  ซึ่งถ้าใครสังเกตหน่อย จะพบว่าเมื่อเรา ทานไอศครีมที่
เย็น มากๆ อย่างรวดเร็ว เราจะรู้สึกเจ็บที่กระดูกหรือเสียวฟัน  หรือความเย็นขึ้นสมอง ทั้งนี้เป็นเพราะ ร่างกาย จำเป็นต้องรักษา ระดับของความเป็นแม่เหล็กในร่างกายเอาไว้  ซึ่งสิ่งที่มันทำคือ ลดอุณหภูมิของกระดูกลง อย่างรวดเร็วเช่น กัน เพื่อรักษาความรู้สึกเป็นตัวตน ของเราเอาไว้ ซึ่งไม่ดีแน่ ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ(มันเหมือนกับการหดตัวอย่างรวดเร็ว)   ดังนั้นการรับสภาพที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มากๆ จึงไม่เป็นผลดีต่อสภาพร่างกาย(สภาพกระแสแม่เหล็ก) ทางที่ดีคือ ค่อยๆปรับอุณหภูมิ จะดีต่อ สุขภาพมากกว่า

ในด้านไฟฟ้า คือ สมองนั้น  ร่างกายมีไว้คิด มีไว้เพื่อรับรู้และแสดงออกซึ่งอารมณ์ต่างๆ ร่างกายก็ต้องมีระบบควบคุม ไม่ให้มากเกินไป หรือน้อยเกินไป  นั้นคือเมื่อเราใช้สมอง คิด และแสดงอารมณ์ต่างๆ มาตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นการใช้ส่วนของความเป็นไฟฟ้า มากแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องลดมันลงมา ซึ่งร่างกายมีวิธีที่คลาสสิค มากที่สุดคือ การนอนหลับ   เมื่อคุณนอนหลับแล้ว คุณก็หยุดคิด หยุดการแสดงอารมณ์  แต่ไม่ได้หมายความว่าสมองหยุดการทำงานทุกส่วน  ยังมีบางส่วนที่ทำงานอยู่ แต่ไม่ได้ใช้มากเหมือนตอนที่เราตื่น

        แต่……..บางคนอาจจะสงสัยว่า    ในเมื่อ ทั้งระบบประสาทและระบบเลือดแสดงความเป็นตัวตน จิตวิญญาณ ของเราแล้ว ส่วนที่ไม่ได้มีเส้นประสาท และเส้นเลือดไปถึงล่ะ หมายความว่าอย่างไร ซึ่งที่นั้นก็คือ เล็บ ขนและผม ของเราเป็นต้น  ซึ่งปัญหาตรงนี้ขอ ตอบว่าที่ตรงนั้น ก็มีความเป็นตัวเราด้วย เพียงแต่เราส่ง จิตวิญญาณ (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) ของเราไปถึงมัน โดยอาศัยอากาศ……….ลม………….ลมปราณ  ลมแห่งชีวิตนี้แหละ ในลมนั้นมีความสมดุลทั้งสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ของตัวเราอยู่ด้วย มันเป็นตัวของเรา มันคือชีวิตของเราด้วยเช่นกัน(คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหมุนซ้ำกันหลายๆรอบก็มีความเข้มข้นขึ้นและเสมือนว่ามีความเร็วน้อยลงเพราะมันจะกลายเป็นความเร็วของกลุ่ม ไม่ใช่ความเร็วของคลื่นๆเดียว///ปรับปรุง 19/06/2012)
http://en.wikipedia.org/wiki/Acupuncture

        ดังนั้น การที่เราจะมีจิต วิญญาณ มีชีวิตในร่างกายนี้ ต้องมีสิ่ง 3 สิ่งที่ใหลเวียนในร่างกาย คือ 1 กระแสไฟฟ้า  2 กระแสเลือด  และ 3 กระแสลม

(The Live must have 3 systems : 1.The nervous system(electric

current)  2 The Blood system(magnetic current)  and 3 The wind

system( Electromagnetic Radiation)

http://en.wikipedia.org/wiki/Bioelectromagnetism  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E 

ถ้าสิ่งใด สิ่งหนึ่งไม่ใหลเวียน(หมุนเป็นรอบ)แล้วละก้อ  คลื่นชีวิต (วงคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า) ของท่านจะต้องปลิดปลิวออกจากร่างกายนั้นไป  อย่างแน่นอน (ตาย…. ไปสู่ที่ชอบๆ ที่ซึ่งมีสภาพพลังงานเหมาะสม และคล้ายกับสภาพจิตใจของแต่ละคน)

    เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว  หลายๆท่านคง ตระหนัก ได้แล้วว่า 
พระเจ้า  สร้างชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร.................(Grand!!!....it work.).

        แต่นี้ยังไม่จบ  เพราะผมยังไม่ได้บอกเลยว่าเราจะสร้างร่างกาย คือ

สสาร ขึ้นมาได้อย่างไร  ซึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผมจะกล่าวในคราวต่อไป
 แล้วเราจะได้รู้ว่า  มิติ ที่ 1  2  และ 3 ที่เหลือ นั้นคืออะไร 
(อย่างเป็นทางการ) และตารางฐาตุ ( element table)ของเรานั้น ทำไม มันถึงเป็นอย่างนั้น (เมื่อเข้าใจส่วนนั้นแล้ว จึงจะเข้าใจว่า ทำไม DNA  จึงเป็นอย่างที่มันเป็น)  และทำไม ดวงดาวใน
ระบบสุริยะ (Solar System)ของเราจึงมีอยู่เท่านี้ 
และที่สำคัญ เราจะทำให้สิ่งที่ เจ้าคุณปู่...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

Albert Einstein 





  ทำค้างไว้ให้เสร็จสิ้นไป (สมการรวมแรงพื้นฐาน ทั้ง 4
(แรง พื้นฐาน ใน ธรรมชาติ 

Fundamental interaction ) ซึ่งรับรองว่า เซอร์ไพรส์สุดๆ

9/03/2012
               เอาล่ะนะ ตอนนี้ ผมจะขอบอกกล่าว ว่า ที่ผมปูพื้น ความรู้ เรื่องจิต  ให้ท่านทั้งหลายทราบก่อนนั้นเพราะว่า ท่านต้องทราบก่อนว่า จิตคืออะไร และมีขอบเขตการรับรู้ได้แค่ใหน  เพราะหากสิ่งที่ท่านรู้มันอยู่ใน ขอบเขตการรับรู้ของ มนุษย์เรา เราก็จะยังมีสติ ดีอยู่ ในการรู้สิ่งนั้นๆ  และสติคือ ความสามารถใน  การแยกความแตกต่าง ของ 2 สิ่ง ออกจากกันได้ และมนุษย์ผู้ซึ่งไม่มีสติของความเป็น มนุษย์ มีหลักๆอยู่ 3 ประเภท คือ 1. คนตาย   2. คนบ้า  และ 3  ผู้ฝึกสติ(สมาธิ)  http://en.wikipedia.org/wiki/Meditation

            คนประเภทที่ 1 และ 2 นั้น เราไม่อาจจะสอบถาม หรือศึกษาข้อมูลใดๆ 

ได้  แต่ คนประเภทที่ 3 นี้ เรา สามารถสอบถาม ศึกษา และเรียนรู้ สิ่งที่เขารับ

รู้มา จากการที่เขาเข้าไปพบสิ่งที่เหนือขอบเขต ของการรับรู้ของมนุษย์

 ธรรมดา จะรับรู้ได้  และขอบเขตนั้นคือ ความเร็วแสง The speed of light 

(สติของเรา(มนุษย์ธรรมดา) ต้องคงที่   จึงยึดโยงกับสิ่งที่คงที่ซึ่งก็คือ
ความเร็วแสง c เพียงความเร็วเดียว
 (Reference to Only one speed of light))


            มนุษย์ประเภท ที่ 3 สามารถเข้าถึงความเร็วแสงที่หลากหลายได้ 
(access to several speed of light) และ

ที่สำคัญ สามารถ นำจิต กลับมาสู่ ความเร็วแสง ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาได้ เขา 

จึงไม่เป็นคนเสียสติ และนั้นคือการเข้าและออกจากสมาธิได้ อย่างมีสมดุลและเสถียร

(ถ้ายังจำเรื่องการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนแต่ละคนออกจาก


กันได้ เราจะพบว่าความเร็วแสง c แยกคนออกจากกันได้เท่านั้น แต่ไม่

สามารถแยกคนออกจากสัตว์ได้ ทั้งๆที่สัตว์ก็มีความเป็นตัวตนของมัน 

มันมีจิต วิญญาณ ด้วย ดังนั้น

คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ เราใช้คนละมาตรฐาน หมายถึง ใช้แสงคนละความเร็วกันนั้น  และหมายถึง
 แสงแต่ละความเร็วทำให้เกิดสัตว์แต่ละชนิด(Species) ///
(ปรับปรุง 18/06/12))



ซึ่งจากรูปของแถบคลื่น(สเปคตรัม)ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่นำมาเสนอ(ด้านบน)นี้ หมายความว่า ตั้งแต่คลื่น infrared ลงไปเช่นคลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นที่มี
ความเร็วต่ำกว่าความเร็วแสง (ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ โดยการตรวจสอบตำแหน่งของคน หรือรถยนต์ ด้วยดาวเทียม จากคลื่นไมโครเวฟ กับด้วยกล้องที่ใช้คลื่นแสงที่ตาเรามองเห็น จะให้ตำแหน่งที่ไม่ตรงกัน
http://en.wikipedia.org/wiki/Global_Positioning_System

ส่วนตั้งแต่คลื่น อุลตร้าไวโอเลต ขึ้นไปเป็นคลื่นที่มีความเร็วสูงกว่าความเร็วแสง และคลื่นทั้ง 2 พวกนี้เรามองไม่เห็น ///ปรับปรุง 24/06/12


           เมื่อนำจิตเข้าไปรับรู้สิ่งที่นอกเหนือจากการรับรู้ ของมนุษย์ แสดงว่าจิต

ของเราเอง ก็จะมีความเร็วเท่าๆ กับสิ่งที่เราเข้าไปรับรู้ด้วย   ซึ่งหากท่านไม่รู้

ในสิ่งนี้ มันจะอันตรายมาก เพราะท่านจะไม่รู้ว่า อะไรเกิดขึ้น กับจิต สำนึก 

ของท่านเอง และอาจทำให้ท่านเสียสติได้

           การนำสำนึก  และ สติ กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ อีกครั้ง โดยความปลอดภัยและไม่ใช่การฝึกจิต มีอยู่วิธีหนึ่ง นั้นคือ
          1. พยายามลืมเรื่องที่รู้มา (นอนหลับได้ยิ่งดี)
           2. นอนอยู่ในสนามแม่เหล็ก ธรรมชาติ(โลก)ที่เข้มข้นกว่าปกติ  (แม่เหล็กธรรมชาติ หมายถึงแม่เหล็กที่ไม่ได้เกิดจากการ กระตุ้นทางไฟฟ้า และเป็นแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากฐาตุที่อยู่ในคาบที่ 3(K-Kr,ferrite magnets)
 ตามตารางฐาตุ ซึ่งวิธีนี้ใช้ปรับสภาพของสนามแม่เหล็กในร่างกายให้สมดุลกับสนามแม่เหล็กธรรมชาติ(โลก)ได้

It will be help calibrate human magnetic field to balance with earth magnetic fied
http://en.wikipedia.org/wiki/Earth's_magnetic_field
http://en.wikipedia.org/wiki/Magnetoception

และต่อไป ผมจะกล่าวอธิบายในรายละเอียดว่าแท้จริงแล้ว...
แม่เหล็กคืออะไร (และท่านจะได้รู้ว่าพืช คือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับ มือถือและคอมพิวเตอร์(///ปรับปรุง 19/06/2012)ทำให้ในทางชีวะวิทยา (Biology)ต้องเพิ่ม อาณาจักร คอมพิวเตอร์ (Computer Kingdom) ขึ้นมาอีกอาณาจักรหนึ่ง นอกเหนือจากอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ เพราะคอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งมีชีวิต
(อย่างน้อยก็ในช่วงที่มันมีพลังงาน(ไฟฟ้า)อยู่) ซึ่งแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะเรา(มนุษย์)ก็สร้างสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นประจำอยู่แล้วนี้
(ด้วยพันธุวิศวกรรม) http://en.wikipedia.org/wiki/Genetic_engineering
///ปรับปรุง 20/06/2012)

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95

***ส่วนวิธีอื่นๆก็มีเช่น การกอดจากคนที่มีพลังกาย พลังใจที่มั่นคงกว่า แต่วิธีนี้ใช้ได้ในกรณีที่ ระดับความเร็วนั้นแตกต่างกันไม่มากนัก คล้ายๆ กับเวลาที่แม่กอดลูกเวลาที่ขวัญเสีย หรือตื่นตระหนก (สำหรับผม ใช้แท่งแม่เหล็ก ที่มีขายทั่วไปตามร้านขายของเล่น อันละ 5 บาท มาวางเรียงราย ล้อมรอบตัว 50 อัน ตั้งแต่หัว ยัน เท้า   และใช้เวลา 4 ชั่วโมง  จึงจะดึง สติกลับสู่ความเป็นคน(ความเร็วแสงของมนุษย์))อีกครั้งได้.....จึงมีเรื่องมาเขียนเล่าให้ท่านทั้งหลายอ่านได้ไง  โดยยังไม่บ้าตายเสียก่อน))
/////(ปรับปรุง 8/06/2012)

5/4/2012




        ...ด้วยสำนึกในพระพุทธคุณอันหาประมาณมิได้...

                                                                 



                                                                     ชีวสิทธิ์   ฮ่มป่า
                                                                                              CHEVASIT HOMPA

6/04/2012
11/05/20212


     ที่จริง หลังจากวันนี้แล้วผมกะจะนำท่านเข้าสู่โลก 3 มิติ(ที่เราคุ้น

เคย)แล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งน่าจะนำเสนอในโลกของแสง คือ เมื่อเรารู้ว่า

แสงคือ จิต วิญญาณของเราแล้ว เราจะรู้ว่าคลื่นแสงแต่ละความถี่คือ 

คลื่นจิตของแต่ละคน ดังนั้นการนำความถี่แสงมาใช้ในการสื่อสารเช่น 

การสื่อสารโดยเส้นใยแก้วนำแสง(fiber optic) 

http://en.wikipedia.org/wiki/Optical_fiber

มีโอกาสที่จะนำคลื่นจิต ของใครสักคนหรือหลายคน มาใช้ ซึ่งจะมีผล

ทำให้คนที่ถูกดึงคลื่นจิตมาใช้นั้นได้รับผลกระทบ คือ 

ทำให้เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะ

จะมีความคิดเข้ามาในหัวตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทรมาน และทารุณ

มาก  ....ผมจึงปราถนาให้มีการเลิกใช้การสื่อสารด้วยเส้นใยแก้วนำ

แสง โดยเร่งด่วน เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม

      จิตของเรา (แสงความถี่ของเรา)ไม่ได้อยู่เฉพาะที่ตัวเราเท่านั้น แต่

มันมีอยู่ทั่วทั้งจักรวาล ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคลื่นแสงของเรา

ที่ใหนในจักรวาลนี้...........เรา จะได้รับผลกระทบด้วย

12/05/2012

      

บทสรุปของจำนวนและตัวเลข ทางคณิตศาสตร์

        ถ้ามีใครถามท่านว่า จริงๆแล้ว จำนวนและตัวเลขพื้นฐานทางคณิตศาสตร์มีกี่ตัว????     ซึ่งการจะตอบคำถามนี้ท่านต้องไปสังเกตจำนวนทางคณิตศาสตร์และหาลักษณะร่วมของมันออกมา และแยกลักษณะที่แตกต่างออกจากกัน ซึ่งจะทำให้ท่านได้ จำนวนตัวเลข ทางคณิตศาสตร์มาแค่ 5 ตัวคือ 0, 1,e, π และ เท่านั้น (เพราะจำนวน  irrational number  ทั้งหมด(เช่น golden ratio)เป็นฟังก์ชั่นของค่า π)  แต่ถ้าถามว่า ถ้าต้องการจำนวนหรือตัวเลขที่เป็นตัวแทนของทุกๆจำนวนแล้ว ท่านจะได้ สมการใหน หรือจำนวนอะไร
       คำตอบคือ จำนวนและตัวเลขทั้งหมด ถ้าสรุปรวบยอดแล้ว จะเหลือแค่ ค่า เพราะ e จริงๆแล้ว คือ วงกลม

                                          วงกลม(Circle ) = e
    วงกลมเป็นไปได้ทุกค่า ทุกตัวเลข(ตั้งแต่ 0 ถึง )  ดังนั้น ถ้าสมการของเรา คำนวนแล้วได้ค่าออกมาเป็น อินฟีนิตี้() เราจะได้วงกลม มาวงหนึ่ง  และถ้าหากเราต้องการ ทราบว่า ค่าตัวเลข หรือสมการที่เรามีนั้น   คิดเป็นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ อินฟินิตี้ เราก็จะใช้ชุด สมการที่เรียกว่า ลาปราช ทรานสฟร์อม  

    แต่ถ้าเราต้องการที่จะย้ายมิติ (จาก 3 มิติ(time domain)ไป มิติที่ 4(frequency domain)) เราก็เทียบค่านั้น กับ อินฟินิตี้ของมิติที่ 4 ด้วยชุดสมการที่เรียกว่า ฟูริเยียร์ทรานสฟอร์ม


***และนี้ก็คือ ชุดสมการที่ใช้คำนวนในสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และโทรคมนาคม ***

และ

เราก็เรียก ลอการิทึมฐาน e ว่า natural logarithm 
( logarithm ฐานธรรมชาติ) เพราะธรรมชาติคือ ...วงกลม...
http://en.wikipedia.org/wiki/Natural_logarithm

                               The nature are circle

                                                  


***สมมุติว่าเราเอาเงินสัก ล้านหนึ่งไปซื้อรถมาคันหนึ่ง แล้วมีคนถามว่าเราได้อะไรมา
นักคณิตศาสตร์  จะตอบเราอย่างตรงไปตรงมา ว่าเราได้สิ่งหนึ่งที่มีค่า 1 ล้านบาทมา
 แต่ถ้าถามคนทั่วไป เขาจะตอบว่าเราได้รถยนต์มาคันหนึ่ง
นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ผมจึงไม่บอกว่า e = 2.718281... เหมือนนักคณิตศาสตร์อื่นๆ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เพราะว่าผมมองมันอย่างที่มันเป็น ไม่ได้มองมัน เฉพาะค่าของมัน
///ปรับปรุง 30/07/2012
****

20/06/2012



สภาพวงกลม  

 

การจะเป็นวงกลมได้จะต้องมีความแตกต่างกันอย่างน้อย 2 อย่าง (หมายถึงต้องมี แกนในทางคณิตศาสตร์ )ซึ่งในธรรมชาติ ในอะตอม 

การที่อิเล็คตรอนจะอยู่ในอะตอมได้ นิวเคลียส และอิเล็คตรอนจะต้องออกแรงที่แตกต่างกัน นั้นคือนิวเคลียสจะต้องออกแรงดึงอิเล็คตรอน แต่อิเล็คตรอนจะต้องออกแรงผลักนิวเคลียสอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะหนีออกจากนิวเคลียส จึงเกิดสภาพการค้านแรงกันอยู่ (จึงเกิดสภาพเป็นวงขึ้นมา ซึ่งทำให้เกิดขนาดขึ้นมาได้ ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างออกแรงดึงดูดกัน(เพราะนั้นหมายถึงมีแรงเดียวหมายถึงไม่มีความแตกต่างกันในทางคณิตศาสตร์ และทำให้ไม่อาจเกิดวงกลมขึ้นมาได้)  แต่ดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ 


ก็เป็นวง แต่มันทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอะตอม คือ ดวงอาทิตย์พยายามที่จะผลักดาวเคราะห์ออกไป แต่ดาวเคราะห์พยายามที่จะดึงดวงอาทิตย์เอาไว้ นั้นคือโลกดึงดูดดวงอาทิตย์ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ดึงดูดโลก  (ส่วนการที่ดวงจันทน์หมุนรอบโลกนั้นจะอธิบายทีหลังเพราะเราต้องรู้จักแม่เหล็กและไฟฟ้าให้ท่องแท้ก่อน)
    ****  เหตุผลง่ายๆที่ทำให้คิดได้เช่นนี้เพราะโฟตรอนประพฤติตัวเช่นเดียวกัน กับอิเล็คตรอน ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดปรากฎการณ์โฟโตอิเล็คตริค และดาวฤกษ์ก็ต่างจากดาวเคราะห์ 
(คลื่นความร้อนแพร่ กระจาย(ผลักดัน)ออกมาจากดวงอาทิตย์ไม่ใช่ถูกดูดออกจากโลก)
http://en.wikipedia.org/wiki/Photon
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99  ****
            และการที่ดวงดาวต่างๆหมุนแสดงให้เห็นว่า มันถูกแรงกระทำ 2 แรงอยู่ตลอดเวลา (แบบเป็นจังหวะสลับกัน)ไม่ใช่มีแรงเดียว(เพราะนั้นจะไม่ทำให้เกิดการหมุน)และทำให้รู้ว่าวงกลมในทางคณิตศาสตร์คือการหมุนในโลกของวัตถุและพลังงาน จึงสรุปว่า
  

 การหมุนคือวงกลม และวงกลมจะเกิดได้ต้องมีสองแรงที่แตกต่างกันกระทำต่อ


สิ่งนั้นและ     ธรรมชาติก็มีสองแรงนี้กระทำอยู่ตลอดเวลาเพราะ


ธรรมชาติคือวงกลมซึ่งทำให้ต้องเกิดการหมุน
        





24/06/2012

สภาพการหมุน

http://chevasit.blogspot.com/2012/07/blog-post.html


2/07/2012